Mercedes-Benz เพิ่มความอเนกประสงค์ให้กับตัวถังแวกอนของ C-Class ด้วยรุ่น All-Terrain ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้ความมั่นใจในเดินทางบนเส้นทางที่มีความทุรกันดารมากขึ้นกว่าปกติไปพร้อมความอเนกประสงค์ของรถแวกอน
จุดเด่นของ Mercedes-Benz C-Class All-Terrain ที่แตกต่างจาก Estate ซึ่งเป็นตัวถังแวกอนเหมือนกันคือการมีความสูงจากพื้นเพิ่มขึ้น 40 มม. พร้อมกับมีระบบขับเคลื่อนด้วยทุกล้อ 4Matic เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของรถ รวมไปถึงใช้ล้อขนาดใหญ่ขึ้นดีไซน์เฉพาะโดยมียางขนาด 225/55 R 17 เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
นอกจากนี้ยังมี 2 โหมดออฟโรดให้เลือกใช้ คือโหมด Offroad สำหรับการลุยเส้นทางขรุขระง่ายๆ อย่างถนนที่เป็นทางฝุ่น กรวด หรือทราย และโหมด Offroad+ พร้อม DSR (Downhill Speed Regulation) สำหรับเส้นทางขรุขระมากขึ้นและมีความสูงชันขึ้น โดยนอกจากความสามารถในการลุยแล้ว ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์เพื่อควบคุมการลากจูงและความสามารถในการลากจูงได้หนักถึง 1,800 กิโลกรัม
นอกจากความสามารถในการลุยเพิ่มขึ้นแล้ว C-Class All-Terrain ยังมีภายนอกของรถที่แตกต่างจาก Estate ที่ภายนอกด้วยกระจังหน้าและกันชนเฉพาะ มีแผ่นกันกระแทกทั้งด้านหน้าและหลัง พร้อมกับมีคิ้วซุ้มล้อสี Dark Grey ด้าน รวมไปถึงมีสเกิร์ตข้างสีตัดกับตัวถัง ซึ่งจากความเปลี่ยนแปลงในส่วนของกันชนและเพิ่มคิ้วซุ้มล้อจึงทำให้รถมีความยาวเพิ่มขึ้น 4 มม. และกว้างขึ้น 21 มม. เมื่อเทียบกับรุ่น Estate ปกติ
ภายในห้องโดยสารมีการออกแบบให้แผงหน้าเอียงทำมุม 6 องศาเข้าหาผู้ขับ พร้อมกับใช้จอ LCD ความละเอียดสูงแบบลอยตัว รวมไปถึงมีการออกแบบเพื่อแสดงลักษณะของออฟโรดในห้องโดยสารอย่างการแสดงข้อมูลเฉพาะอย่างความลาดเอียง องศาในการเลี้ยว รวมไปถึงเข็มทิศ
สำหรับเบาะมีรูปแบบการหุ้ม Avantgarde-specific ซึ่งเป็นการแต่งมาตรฐานของรถพร้อมมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังดำแต่งด้วยวัสดุสีเงิน
ส่วนหัวใจในการขับเคลื่อนบนเส้นทางทุรกันดารมีทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบพร้อม Starter-generator เจนเนเรชัน 2 เหมือนกัน แต่เครื่องยนต์ดีเซลจะมีระบบไฟฟ้า 48-Volt ด้วย
ทาง Mercedes-Benz จะเปิดตัว C-Clas All-Terrain อย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ที่มิวนิกเดือนกันยายนนี้ จากนั้นจึงเริ่มขายในยุโรปปลายปีนี้