เอ๊ะทำไมเวลารถเกิดอาการฮีทจากความร้อนจากเครื่องยนต์ คนส่วนใหญ่มักสงสัยอาการที่ตามมาอย่างฝาสูบโก่ง แล้วฝาสูบโก่งมันเกี่ยวกับความร้อนที่ฮีทยังไง เรามาหาคำตอบกัน
อาการฝาสูบโก่งมีอยู่ 2 ประการ คือ
ประการที่ 1 คือ รถขาดน้ำมันเครื่องไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ที่เพียงพอ หรือไม่ก็น้ำมันเครื่องเก่าเสื่อม อายุการใช้งานเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด (ซึ่งถ้ามองตามอายุอานามของรถที่คุณใช้) จุดนี้ค่อนข้างจะเกิดได้ยาก แต่ก็มีทางเป็นไปได้ ทางแก้คือหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง และเปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลา เท่านี้ก็น่าจะหมดกังวล
ประเด็นที่สอง อันนี้น่าจะเป็นตัวการหลักที่ทำให้รถคุณเกิดอาการฝาสูบโก่งได้มากที่สุดนั่นคือ รถเกิดอาการขาดน้ำ หรือระบบระบายความร้อนด้วยน้ำเกิดการชำรุด ส่วนวิธีการตรวจสอบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำนั้น การตรวจสอบการรั่วซึมของระบบน้ำหล่อเย็นเป็นสิ่งแรก ในจุดนี้ก็มีวิธีการตรวจสอบอยู่ด้วยกันดังนี้
การตรวจสอบอากาศภายนอกรั่วเข้าในระบบระบายความร้อน การตรวจสอบในขั้นตอนนี้เป็นการตรวจสอบเพื่อดูว่าอากาศจากภายนอกได้ถูกดูดเข้าไปผสมกับน้ำในระบบหล่อเย็นหรือไม่ ฟองอากาศที่เล็ดลอดเข้าไปจะก่อให้เกิดแรงดันสูง และแรงดันดังกล่าวจะทำให้น้ำหล่อเย็นในระบบไหลออกจากหม้อน้ำ จุดนี้เองเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ร้อนจัด สำหรับอากาศที่รั่วเข้าสู่ระบบได้นั้น อาจเนื่องจากการขันเข็มขัดรัดท่อยางไม่แน่นทำให้เกิดการรั่ว หรืออาจเกิดจากน้ำหล่อเย็นในระบบมีระดับน้ำที่ต่ำเกินไป
การตรวจสอบแก็สไอเสียรั่วซึมเข้าสู่ระบบระบายความร้อน การตรวจสอบในขั้นตอนนี้จะสามารถทำให้ทราบได้ว่าขณะนี้ ฝาสูบของเครื่องยนต์ อาจเกิดการแตกร้าว ฝาสูบที่มีรูให้แก็สไอเสียไหลผ่านเข้าไประบบน้ำหล่อเย็นได้นั้น ในทางกลับกันน้ำหล่อเย็นบางส่วนที่มีอยู่ในระบบก็จะไหลเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้ด้วยเช่นกัน สำหรับแก็สไอเสียที่รั่วเข้าสู่ระบบหล่อเย็นจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีก่อให้เกิดขี้ตะกรัน และสนิมเกิดขึ้น ในจุดนี้เราสามารถตรวจสอบการรั่วซึมดังกล่าวได้ดังนี้ คือ ติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้ให้อุณหภูมิเครื่องยนต์ทำงานอยู่ในสภาวะที่สมดุลย์ เปิดฝาหม้อน้ำ และสังเกตุฟองอากาศที่เกิดขึ้นภายในน้ำหล่อเย็น หากพบฟองอากาศที่ลอยผุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลานั่นคือเครื่องบ่งชี้ถึงแรงดันของแก็สไอเสียได้รั่วเข้าสู่ระบบน้ำหล่อเย็นแล้วนั่นเอง ที่สำคัญการตรวจสอบในขั้นตอนนี้จะต้องกระทำอย่างรวดเร็วก่อนที่น้ำหล่อเย็นจะมีอุณหภูมิความร้อนอยู่ในระดับถึงจุดเดือด
หลังจากที่เราได้ทราบถึงวิธีการตรวจสอบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำกันพอสมควร ที่นี้เรามาว่ากันต่อถึงเรื่องของการทำความสะอาดในส่วนของระบบนี้กันบ้าง สำหรับเครื่องยนต์ที่มีอายุการใช้งานที่นานแล้วนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ละเลยไม่ได้เป็นอันขาดกับเรื่องดังกล่าว การปล่อยประละเลยไม่ดูแลในระบบระบายความร้อนด้วยน้ำให้อยู่ในสภาพที่ดี ผลที่จะเกิดขึ้นคือ เกิดการก่อตัวของสนิมขึ้นภายในท่อทางเดินน้ำ หรือการเกิดตะกรันเกาะฝังแน่นขวางทางน้ำ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องยนต์เกิดความร้อนที่สูง แรงดันน้ำที่สูงจะส่งผลให้น้ำเกิดแรงดันที่สูงดันตัวเองให้สามารถเอาชนะแรงกดของสปริงฝาปิดหม้อน้ำ ซึ่งน้ำที่เดือดดังกล่าวจะไหลออกทางท่อระบายที่คอหม้อน้ำลงสู่หม้อพักน้ำ หากน้ำภายในหม้อพักมีปริมาณที่มากเกินก็จะถูกดันให้ไหลออกสู่นอกระบบ จุดนี้เองเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหล่อเย็นภายในหม้อน้ำมีปริมาณที่ลดลง
การทำความสะอาดหม้อน้ำด้วยตนเอง สามารถกระทำได้ 2 วิธีด้วยกันคือ
- การล้างหม้อน้ำด้วยการฉีดน้ำย้อนกลับ การล้างหม้อน้ำวิธีนี้จะช่วยในการชะล้างสนิมที่เกาะอยู่ตามทางเดินน้ำให้หลุดร่อนออกมาตามกระแสน้ำที่ฉีดอัดเข้าไป การทำความสะอาดหม้อน้ำด้วยวิธีนี้จะต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษช่วยอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือหัวฉีดน้ำที่มีการต่อพ่วงกับท่อลมแรงดันสูง (หัวฉีดน้ำที่เรามักพบเห็นตามคาร์แคร์) ลักษณะการฉีดอัดน้ำจะกระทำในลักษณะฉีดย้อนการไหลเวียนของน้ำหล่อเย็น การกระทำดังกล่าวจะช่วยทำให้เศษสนิมและตะกรันที่เกาะอยู่ตามทางเดินน้ำหลุดร่อนออก ข้อควรระวังในการฉีดน้ำประเภทนี้ ลมที่ใช้ในการอัดร่วมกับน้ำจะต้องมีแรงดันอยู่ที่ประมาณ 1.3 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร (20 ปอนด์/ตารางนิ้ว) และไม่ควรให้แรงดันลมมากเกินกว่านี้ เนื่องจากอาจก่อให้เกิดการชำรุดเสียหายขึ้นกับระบบหล่อเย็นได้)
- การล้างช่องทางน้ำหล่อเย็นเครื่องยนต์ด้วยวิธีฉีดน้ำอัดย้อนกลับ ในจุดนี้จะคล้ายกับการล้างหม้อน้ำรถยนต์ด้วยการฉีดน้ำย้อนกลับ วิธีการนั้นก็เช่นเดียวกับแบบแรก สิ่งที่ต้องกระทำก่อนการฉีดล้างก็คือ ต้องทำการถอดเทอร์โมสตัต (วาล์วน้ำ) ออกเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงจะทำการฉีดอัดลม และน้ำย้อนเข้าสูระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์ กระแสน้ำและลมที่ฉีดเข้าไปจะช่วยชะล้างสิ่งสกปรกที่อยู่ในทางเดินน้ำของเครื่องยนต์หลุดร่อนออกมาตามกระแสน้ำ
และนี่ถือเป็นบางส่วนของการดูแลรักษาระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่คุณสามารถลงมือกระทำได้ด้วยตัวคุณเอง และใช้เวลาไม่นาน ยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันยิ่งมีการปรับราคาสูงขึ้น ทางไหนที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายก็น่าจะเป็นการดี นอกเหนือจากได้ดูแลรถคันโปรดด้วยฝีมือตนเองแล้วยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย