BMW X3 รุ่นใหม่ซึ่งเป็นเจเนเรชันที่ 4 ถูกเผยโฉมออกมาพร้อมกับภาษาการออกแบบใหม่ที่ถูกระบุว่าเพิ่มความโดดเด่นและพลังภายนอกของรถมากขึ้น พร้อมใช้วัสดุคุณภาพสูง และห้องโดยสารถูกออกแบบให้มีความทันสมัย
ด้วยภาษาการออกแบบใหม่ ทำให้ภายนอกของ BMW X3 ดูใหญ่ขึ้นในทุกส่วน พร้อมยังคงลักษณะของรถรุ่น X Model เอาไว้ รวมทั้งยังลดโครงสร้างภายนอกของรถเหลือเท่าที่จำเป็น โดยรถรุ่นใหม่มีความยาวมาขึ้นกว่ารุ่นก่อน 34 มม. จากความยาว 4,755 มม. และกว้างขึ้น 29 มม. จากความกว้าง 1,920 มม. ส่วนความสูงของรถลดลง 29 มม. จากความสูง 1,660 มม. ทำให้รถมีรูปลักษณ์ที่มีพลังและความสปอร์ตมากขึ้นจากความสูงที่ลดลงแต่กว้างขึ้น
ด้านหน้าของรถมีความทันสมัยขึ้นด้วยกระจังหน้าไตคู่ขนาดใหญ่ที่มีทั้งแถบแนวตั้งและแถบเฉียงภายใน โดยมีกระจังหน้าเรืองแสงเป็นออปชัน นอกจากนี้รถยังมีไฟหน้า LED ใหม่พร้อมไฟ Daytime Running Light L-shaped ส่วนด้านข้างรถมีสเกิร์ตข้างขนาดใหญ่ แนวเส้นหลังคาที่ยาวถึงปลายด้านหลัง นอกจากนี้รถยังมีซุ้มล้อที่เพิ่มความกว้างให้กับด้านหลังของรถ
ด้านหลังของรถมีไฟท้ายพร้อมกราฟฟิก T-shaped และแถบแนวนอนสร้างความทันสมัยให้กบัรถ รวมทั้งมีสปอยเลอร์หลังที่ปลายหลังคา ส่วนสีของรถรุ่นใหม่มีให้เลือกรวม 9 สี เป็นสีเมทัลลิก 8 สี รวมทั้งมีสีเทาเมทัลลิก Dune Gray ใหม่ ในขณะที่ล้อ Light-alloy ใหม่มาตรฐานของรถมีขนาด 18 นิ้ว ยกเส้นรุ่นปลั๊กอินไฮบริดที่มาพร้อมล้อขนาด 19 นิ้ว และรุ่นสมรรถนะสูงสุดที่มีล้อขนาด 20 นิ้ว
ห้องโดยสารของรถให้ทั้งความรู้สึกทันสมัยและสปอร์ตด้วยจอ Curved Displayที่รวมจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 12.3 นิ้วและจอควบคุมกลางขนาด 14.9 นิ้วไว้ด้วยกัน, Interactive Bar เพื่อสร้างแสงไฟสามมิติทั้งที่ใต้จอควบคุมตรงกลาง คอนโซลกลาง และประตู, พวงมาลัยด้านล่างแบน เบาะสปอร์ตไฟฟ้าดีไซน์ใหม่ สวิตช์เลือกระบบขับเคลื่อนใหม่ นอกจากนี้รถยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระ 570 ลิตรซึ่งขยายได้ถึง 1,700 ลิตร
รถรุ่นใหม่มีระบบขับเคลื่อนทั้งเครื่องยนต์เบนซิน เครื่องยนต์ดีเซล ปลั๊กอินไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่รวมอยู่ในระบบส่งกำลัง โดยรุ่นแรงสุดคือ M50 xDrive มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ พร้อมระบบไมลด์ไฮบริด 48V มีกำลัง 398 แรงม้า ใช้เวลา 4.6 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม.
รถเอสยูวีรุ่นใหม่จะถูกผลิตที่โรงงานในสหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ โดยจะเริ่มขายที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จากนั้นตามด้วยตลาดอื่นตั้งแต่ต้นปี 2025
