บรรดาผู้ที่ชื่นชอบรถซูเปอร์คาร์ แต่ก็อยากให้สามารถขับไปบนทางขรุขระหรือถนนที่ชำรุดได้โดยไม่ต้องกังวล Lamborghini ส่ง Huracan Sterrato มาเป็นคำตอบแล้ว ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ของรถที่ทำให้ลุยไปบนพื้นผิวถนนต่างๆ ได้มากกว่าซูเปอร์คาร์ทั่วไป โดยที่ยังคงสมรรถนะความแรงของรถเอาไว้
Lamborghini Huracan Sterrato บ่งบอกถึงศักยภาพการผจญภัยไปบนถนนต่างๆ ได้มากขึ้นด้วยความสูงของใต้ท้องรถจากถนนที่เพิ่มขึ้น 44 มม. เมื่อเทียบกับHuracan EVO รวมไปถึงยังเพิ่มความกว้างของรถที่ด้านหน้ามากขึ้น 30 มม. และเพิ่ม 34 มม. ที่ด้านหลัง รวมไปถึงยังเสริมความป้องกันส่วนต่างๆ ของรถด้วยแผ่นอลูมิเนียมทั้งที่ใต้ท้องรถด้านหน้า ขอบล่างของประตู และที่ Diffuser หลัง
นอกจากนี้รถยังมาพร้อมกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอกที่แตกต่างจากHuracan ทั่วไปด้วย โป่งซุ้มล้อสีดำในสไตล์รถครอสโอเวอร์ มีช่องดักอากาศอยู่เหนือหลังคาเพื่อนำอากาศสะอาดเข้าสู่เครื่องยนต์เมื่อขับไปบนทางที่เต็มไปด้วยฝุ่น และมีไฟติดเพิ่มปลายฝากระโปรงหน้า
แม้จะมีคุณสมบัติสำหรับการลุยไปนอกเส้นทางปกติได้ แต่Huracan Sterratoก็ยังคงคุณสมบัติความแรงของรถซูเปอร์เอาไว้ด้วยเครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร ที่มีกำลัง 610 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ/นาที โดยใช้เกียร์ดูอัลคลัตช์ 7 สปีดส่งกำลัง พร้อมมีระบบขับเคลื่อนทุกล้อควบคุมด้วยอีเล็กทรอนิก และ Self-Locking Differential หลัง โดยรถสามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 3.4 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม. นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับ Strada และ Sport ที่ถูกปรับมาโดยเฉพาะ รวมทั้งมีโหมด Rally มาให้ใช้ในสถานการณ์ที่มีการยึดเกาะถนนต่ำ
ห้องโดยสารของ Sterratoยังไม่มีภาพออกมาให้ดู แต่ถูกระบุว่าใช้ Alcantara Verda Sterrato หุ้มส่วนต่างๆ ในห้องโดยสาร ระบบ Infotainment Human Machine Interface ของรถมีกราฟฟิกใหม่ มีการแสดงข้อมูลอย่างเข็มทิศ การเอียงของรถ และมุมของพวงมาลัยเพิ่มเข้ามาในส่วนของการแสดงข้อมูลแก่ผู้ขับ และมีLamborghini Connect ที่มาพร้อมกับ Amazon Alexa สำหรับควบคุมระบบปรับอากาศ ไฟ ระบบนำทาง โทรศัพท์ และความบันเทิงได้ผ่านการสั่งงานด้วยเสียง รวมทั้งควบคุมการทำงานต่างๆ ของรถจากระยะไกลผ่านแอปป์ได้
สำหรับราคาของรถไม่ได้ถูกระบุออกมา แต่ทางผู้ผลิตรถซูเปอร์จากอิตาลีบอกว่า Huracan Sterrato ไม่มีข้อจำกัดในการแต่งด้วยโปรแกรมLamborghini Ad Personam ที่มี 350 สีให้เลือกสำหรับภายนอก และ 60 สีสำหรับหนังและ Alcantara อย่างไรก็ตามจะมีการผลิตรถจำกัดแค่ 1,499 คัน โดยจะเริ่มผลิตตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2023
